ผด ผื่นคัน
วิธีดูแลและรักษาผิวเมื่อมีผื่นคัน
เมื่อมีผื่นและมีอาการคัน ควรทำอย่างไร
คำตอบคงไม่ใช่ว่า
( เกา ) ได้ตามอำเภอใจจนกว่าจะหายคัน เพราะการเกาทำให้สะใจในเรื่องแก้คันได้ก็จริง
แต่การเกาจะทำให้มีรอยเล็บขีดข่วนลงบนผิวหนัง
และอาจเป็นหนองทุกคนต้องเคยเป็นผื่นผิวหนังไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ต่างกันแต่ว่าจะเป็นร้ายแรงชนิดต้องการรักษา หรือเป็นผื่น แต่ไม่เดือดร้อน คือ
ไม่มีอาการหรืออยู่ในที่ลับตา จึงไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ การเป็นผื่นผิวหนัง
หมายถึง การมีสีผิวหนังผิดไปจากเดิม (ผื่นขาว ผื่นเขียว ผื่นน้ำตาล ผื่นแดง
หรือผื่นดำ ) หรือการมีตุ่มผื่นและก้อนนูนเหนือผิวหนัง
ซึ่งอาจมีน้ำเหลืองไหลเป็นฝีหนอง หรือเลือดไหลก็ได้
ที่สำคัญที่สุด
ท่านต้องแยกให้ออกว่า
สิ่งผิดปกติบนผิวหนังของท่านจัดเป็นผื่นผิวหนังหรือเกิดจากบาดแผล มีดบาด ตะปูตำ
น้ำร้อนลวก หรือ ถูกสารเคมี
สิ่งเหล่านี้การปฎิบัติตนจะแตกต่างกัน
การป้องกันและรักษา
ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังนั้น
เกินร้อยละ 90 มักจะทดลองรักษาด้วยตนเอง มาก่อนเสมอ เมื่อไม่หายแล้วจึงมาพบแพทย์
นับได้ว่าปฎิบัติต่อโรคผิวหนังของตนเองอย่างผิดๆ
โดยประมวลอาการกำเริบของโรคผิวหนังจากคนไข้ ที่มาพบหมอ คือ
*สบู่
หลายคนจะเข้าใจผิดว่า
ตนเองเป็นโรคผิวหนังจากความสกปรก จึงฟอกสบู่บริเวณนั้นให้มากกว่าเดิม
หรือมิฉะนั้นก็ใช้สบู่ที่ผสมยาฆ่าเชื้อ
หรือไม่ก็แช่ผิวหนังส่วนนั้นลงบนน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดแรงมากๆ
และถ้าแช่น้ำยาแล้วเกิดอาการแสบๆ จะยิ่งเชื่อว่าทำให้หายคัน
แท้จริงแล้วสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
เป็นข้อห้ามใช้ในโรคผิวหนัง เพราะสบู่และน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ
จะมีผลให้ความเป็นกรดด่างของผิวหนังบริเวณที่ถูทาเปลี่ยนแปลงไป มีผลให้อาการของโรคผิวหนังกำเริบมากขึ้น
โดยลามกว้างออกไป น้ำเหลืองไหลมากขึ้น เพราะเกิดอาการระคายเคืองจากสบู่
อาการคันจะเป็นมากขึ้นเมื่อเช็ดผิวหนังให้แห้งแล้ว
จึงสรุปว่าไม่ควรใช้สบู่
หรือสบู่ยาฆ่าเชื้อโรค ปัญหาที่ว่ามีสิ่งสกปรก และเป็นโรคผิวหนังเพิ่มอีก หรือ
เพราะอาบน้ำไม่ฟอกสบู่
คำตอบ
ก็คือ ให้ฟอกสบู่เฉพาะตรงที่เป็นผิวหนังปกติ
ส่วนบริเวณโรคผิวหนังนั้น
ให้เพียงแต่ราดน้ำสะอาดให้มากๆ เพื่อล้างฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรก
และสิ่งแปลกปลอมออกให้มาที่สุด แล้วซับผิวหน้าด้วยผ้านุ่มๆ จนแห้งสนิท
สำหรับการทำความสะอาด บริเวณโรคผิวหนังก็เพียงพอแล้ว
*แอลกอฮอล์
การทำความสะอาดโรคผิวหนังด้วยตนเองโดยใช้แอลกอฮอล์
เพราะเข้าใจว่าฆ่าเชื้อโรคได้ และเนื่องจากแสบๆเย็นๆ เวลาทาแอลกอฮอล์จึง
ทำให้อาการคันลดลงได้ จึงนิยมใช้กันมาก แท้ที่จริงแล้ว
แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการทำลายเฉพาะแบคทีเรียเท่านั้น
และโรคผิวหนังที่เกิดจากแบคทีเรีย มีน้อยมากเพียงร้อยละ 2 ถึง 3
ของโรคผิวหนังเท่านั้น ส่วนมากจะเป็นโรคผิวหนังจากการแพ้เชื้อราและโรคผิวหนังจากการไม่ติดเชื้อ
ดังนั้น
แอลกอฮอล์จึงเกือบไม่มีประโยชน์ในการทาบริเวณที่เป็นโรคผิวหนัง
นอกจากนี้
อาการรู้สึกเย็นสบาย ภายหลังจากการทาแอลกอฮอล์จะเกิดอาการคันอย่างมาก
ทั้งนี้เกิดจากการระเหยของแอลกอฮอล์นั้นได้พาน้ำจากผิวหนังลอกตามออกไปด้วย ผิวหนังจะเกิดอาการแห้งอย่างรุนแรงและคันมาก
จึงสรุปว่าไม่ควรทาแอลกอฮอล์ตรงที่เป็นโรคผิวหนัง
*การขูดผิวหนังด้วยไม้
มักจะเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังและมีอาการผิวหนังนูนหนาและคันโดยเชื่อว่าขูดด้วยไม้แล้วอาการคันจะทุเลาลงมาก
แต่จริงๆแล้วเมื่อขูดด้วยไม้แข็งๆ
ผิวหนังส่วนบนจะลอกหลุดออกร่างกายจะสร้างผิวหนังขึ้นมาทดแทน และหนากว่าผิวหนังเดิม
จึงทำให้ดูแล้วมีอาการมากขึ้นกว่าเดิม จึงไม่ควรเอาไม้ขูดผิวหนัง
ควรใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก ชุบน้ำสะอาดซึ่งไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
โปะไว้บนผิวหนังนั้นสัก 15 นาที อาการคันจะทุเลาลง
*วิธีลดอาการคันด้วยตัวเอง
มาถึงปัญหาว่า
ไม่ควรใช้สบู่ แอลกอฮอล์ และไม้ขูด แล้วจะทำอย่างไร ก็ถ้ามีอาการเจ็บตึงและคันมาก
จึงขอแนะนำให้ช่วยเหลือตนเองด้วยวิธีง่ายๆ ที่ถูกต้อง คือ
*การอาบน้ำ
ถ้าเป็นที่ศีรษะให้ใช้น้ำสะอาดล้างผมทุกวันโดยไม่ต้องใส่แชมพู
เพื่อล้างสะเก็ดน้ำเหลือง หรือสิ่งสกปรกออก ตัดหรือซอยผมให้สั้น
เพื่อสะดวกในการถ่ายเทอากาศ และทายาได้ง่ายขึ้น
ถ้าเป็นตามลำตัว
ควรอาบน้ำวันละ 1 ถึง 2 ครั้ง โดยใช้น้ำสะอาด ปริมาณมาก ชำระตรงบริเวณโรคผิวหนัง
และห้ามถูสบู่บริเวณนั้น การราดน้ำมากๆ จะทำให้สิ่งสกปรกที่ติดรวมถึงเชื้อโรค
สะเก็ดแห้งกรังหลุดออกได้เอง โดยไม่ต้องแงะให้เลือดออก
การที่สะเก็ดหลุดออกจะพาเอาเชื้อโรคจำนวนมหาศาลหลุดติดออกไปด้วย
หลังจากนั้นจึงใช้ผ้าสะอาดซับผิวหนังให้แห้ง
*การประคบยา
การประคบยาจะช่วยลดอาการคันปวดแสบปวดร้อน
อาการบวมแดง และน้ำเหลืองได้
เด็กแรกเกิดถึง 12 ปี ถ้าเป็นโรคผิวหนังที่มีอาการคันมากสังเกตจากการที่เด็กเกามากตอนกลางคืน
ให้ใช้ผ้านุ่มๆ สะอาดชุบน้ำสะอาด หรือ น้ำผสมด่างทับทิมสีชมพูอ่อนๆ
ประคบตรงผื่นครั้งละ 15 นาที ควรทำช่วงที่เด็กหลับ
เพราะจะได้ไม่ดิ้นจนผ้าประคบหลุดออก ควรทำทุก 2 ชั่วโมง หรือ ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง
สักประมาณ 2 วัน อาการคันและบวมแดงจะยุบลง
เด็กอายุ
12 ปีขึ้นไปถึงวัยชรา ให้ใช้น้ำยาล้างตา ประคบตรงบริเวณโรคผิวหนัง ครั้งละ 15
นาที วันละ 3 ถึง 4 ครั้ง
การประคบน้ำยาไว้
15 นาทีนั้น จะได้ผลดีในกรณีที่มีน้ำเหลืองตรงบริเวณแผลภายใน 1 ถึง 2 วัน
น้ำเหลืองจะแห้งสนิท แต่มีข้อควรระวัง คือ เมื่อครบ 15 นาทีแล้วควรเอาผ้าออก
ถ้าทิ้งไว้ที่ผิวหนังจะเกิดอาการแห้งกรัง เพราะเลือดจะไหลและเจ็บปวดเวลาดึงผ้าออก
*การเจาะเม็ดพองใส
โรคผิวหนังบางรายจะมีตุ่มน้ำใสๆ
ขนาดต่างๆกัน เหนือหรือใต้ผิวหนัง เช่น ผื่น แพ้ยาซัลฟา โรคอีสุกอีใส โรคงูสวัด
โรคเริม ควรเจาะให้น้ำเหลืองไหลออ แต่ห้ามเลาะผิวหนังด้านบนออกตาม
เพราะจะทำให้เป็นแผลเป็น
วิธีทำคือ
ให้ใช้เข็ม เจาะตรงฐานของเม็ดใสด้านใดด้านหนึ่ง ใช้นิ้วรีดน้ำเหลืองออกให้หมด
แล้วปิดด้วยผิวหนังเดิมซึ่งเป็นหลังคาของเม็ดใสๆนั้น การทำเช่นนี้จะเป็นการลดอาการเจ็บตึงของผิวหนัง
และทำให้ผื่นสะอาดเพราะไม่ต้องใช้ผ้ากอซหรือสำลีปิดทับอีกครั้ง
*การดูแลผื่นผิวหนัง
หลายคนมักจะใช้ผ้าทำแผลปิดบริเวณผื่น
โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันเชื้อโรค ป้องกันฝุ่นละออง หรือเพราะอาย
โดยแท้จริงแล้วเมื่อมีผื่นผิวหนังควรเปิดไว้มิให้เกิดความร้อนขึ้น
เพราะอาการคันจะมีมากถ้ามีอากาศร้อน และความชื้นเกิดขึ้น
จึงควรเปิดผื่นผิวหนังไว้โล่งๆ จะดีกว่า
ถ้าปฎิบัติตามข้อ
1 ถึง 4 แล้ว อาการผื่นผิวหนังยังไม่ดีขึ้นภายใน 5 ถึง 7 วัน แสดงว่าเกินความสามารถในการดูแลรักษาโรคผิวหนังด้วยตนเอง
ควรไปพบแพทย์ผิวหนังในทันที
Cr : พญ.เยาวเรศ นาคแจ้ง